ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เมื่อฉันดู O - Negative (รักออกแบบไม่ได้) III

ความเดิมตอนที่แล้ว จบลงที่เทอม 2 ปี 2 กับวีรกรรมทุลักทุเล และพวกเรารักอาจารย์พี่หนุ่ย


ปี '48 หลังจากผ่านพ้นปี 2 มาอย่างทุลักทุเล พวกเราก้าวขึ้นสู่ปีที่ 3 แล้ว ถือว่าเป็นรุ่นพี่ที่มีบทบาทมากที่สุดของท่องเที่ยว เนื่องจากปี 4 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายจะวางมือจากกิจกรรม และคอยดูแลน้องๆอยู่ห่างๆ ในปีนี้มีน้องใหม่เข้ามามากเป็นจำนวนที่น่าตกตะลึง ตึ่ง โป๊ะ! เพราะจำนวนของน้องๆมีมากกว่าจำนวนของรุ่นพี่เป็นเท่าตัว (ปกติห้องหนึ่งไม่เกิน 30 คน...ปี 4 ตอนนั้นมีแค่ 18 คน) แต่ชีวิตของฉันในช่วงนี้ ดูเหมือนจะหลุบหายออกไปจากวงโคจรชีวิตของเพื่อนๆ เหมือนกับโดนหลุมดำดูดออกไปจากจักรวาลนี้เลยทีเดียว เหตุนั้นเกิดจาก "ความรัก" ใช่แล้ว ในปีนั้นฉันมีความรัก (แอร๊ยยยยยยยย) และคนๆนั้นก็คือ หนึ่งในรุ่นน้องปีหนึ่งจำนวนมหาศาลนั่นแหละ เป็นช่วงเวลาที่ฉัน ใช้ชีวิตส่วนมากไปกับรุ่นน้องคนนั้นมากกว่าเพื่อนๆที่หอนรก แต่การเรียนก็ไม่เสีย กิจกรรมไม่บกพร่องนะ เอ๊ะ หรือจะบกพร่อง? ไม่รู้สิ

ในปีนี้ ด้านกิจกรรมฉันอยู่ในตำแหน่งรองประธานของแผนกท่องเที่ยว ช่วงแรกๆกิจกรรมที่ได้รับมอบหมายก็เป็นไปได้ด้วยดีนะ แต่ช่วงหลังติดหญิง กับแอบขัดเคืองใจกับคำพูดบางคำของเพื่อนบางคน ฉันเลยถอยออกมางดแสดงความคิดเห็น (แต่ยังให้ความร่วมมือตามมติที่ประชุม) ด้วยเหตุผลงี่เง่าที่ต้องการก่อตั้งชมรมกับโบ แต่ก็ไม่ได้ทำเหมือนกัน (ขี้เกียจซะก่อน) ก็ด้วยเหตุนี้บทหนักของกิจกรรมในแผนกเลยตกไปอยู่กับรัตน์ ไม้ และเทป ซึ่งช่วงพีคของกิจกรรมก็เป็นช่วงพีคในเรื่องความรักของฉันเช่นกัน ที่มันดูเหมือนจะไปได้ดี

อย่างที่บอกไปว่าปี 3 นี้ฉันถูกหลุมดำดึงดูดจนหลุดไปจากจักรวาลของเพื่อนๆไป แต่พอมาเทอม 2 ก็กลับมาต่อกันติดอีกครั้ง ด้วยทริปเชียงใหม่ - เชียงราย เป็นทริปใหญ่ 4 วัน 3 คืน ที่ทุกคนต้องจัดด้วยกัน โดยฉัน ไม้ ป้อ หลุน ได้รับมอบหมายและอาสาไป Survey เส้นทางก่อนวางโปรแกรม ซึ่งไอ้หลุน ที่เป็นผู้ชายกินแรงผู้หญิงบึกบึนอย่างพวกเรามาก แต่สุดท้ายด้วยความที่เกิดมาเพื่อเป็นไกด์ของไอ้หลุน พวกเราก็ต้องพึ่งพาความสามารถของมันในการวางโปรแกรม เพราะสาวๆในห้องถ้าไม่นั่งมองแผนที่ตาเยิ้ม ก็เถียงกันเอาเป็นเอาตาย อย่างกับจะฆ่ากันให้ได้อย่างนั้น ไม่มีทางจะได้ข้อสรุป ถ้าไม่ได้ความคิดไอ้หลุน ที่หัวใสมาก (ใสจริง ไม่ใช้สะ-แตน-อิน)

ทริปเชียงใหม่ - เชียงรายนั้นหฤโหดมาก ไม่ใช่เพราะโปรแกรม กิจกรรม หรือการเดินทาง แต่กลับเป็นเรื่องการสรุปงานทัวร์ หรือที่พวกเราเรียกว่า "เคลียร์ทัวร์" ในแต่ละวัน เหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นในคืนแรกเลย ที่ห้องพักอาจารย์หนุ่ยที่โรงแรมปางสวนแก้ว ซึ่งในบรรดาพวกเราและอาจารย์หนุ่ยไม่ได้เกิดข้อพิพาทกัน แต่พวกเราเกิดข้อพิพาทกับคนอื่น ซึ่งเป็นผู้สร้างปัญหาและมาพิพาทกับพวกเรา โดยไร้สาเหตุและเดินหนีออกจากห้องไปเฉย แต่ด้วยสปิริท พวกเราจึงต้องส่งตัวแทน อันประกอบไปด้วย แชมป์ เอี๊ยบ และอีกคนจำไม่ได้ว่าใคร ไปขอโทษคนอื่นคนนั้นถึงห้องพัก ซึ่งการที่ตัวแทนไปถึงห้องพักของคนอื่นคนนั้น ก็ได้สร้างความเดือดร้อนเล็กน้อยแก่ อาจารย์พจน์ที่ร่วมเดินทางไปในทริปกับพวกเราด้วย แต่เอาจริงๆทริปนี้พวกเราก็ประทับใจนะ

กลับจากทริปเชียงใหม่ - เชียงรายก็เข้าสู่การสอบและการฝึกงาน ซึ่งช่วงฝึกงานนี่แหละที่ฉันอกหักอย่างแรง การอกหักในช่วงเวลานี้เป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก เพราะไม่มีโอกาสได้เจอกับเพื่อนๆเลย ยกเว้น โบ กับ ใหม่ ที่ไปฝึกงานที่เดียวกัน หอนรกสถานที่ชุมนุมสุราก็ถูกคืนไปนานแล้ว ถึงแม้ฉันจะร้องไห้กับโบบ่อยๆ แต่มันก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น จนฝึกงานเสร็จต้องปลีกวิเวกเข้าวัดเลยทีเดียว แต่ก็อยู่ได้แค่วันเดียวก็เผ่นออกมา มันคงร้อนมั้ง (555+) ไม่รู้ว่าชะตากำหนดหรือกรรมลิขิต ออกจากวัดมายังไม่ทันถึงบ้าน หมีก็โทรมา บอกว่า อยากไปหย่อนใจบ้านโบ เพราะหนีปัญหาที่บ้านนิดหน่อย ฉันตัดสินใจไม่ยากในเมื่อเสื้อผ้าพร้อมแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่ปากเกร็ดทันที ที่บ้านโบนี่แหละที่ทำให้อาการอกหักของฉันดีขึ้น

เพื่อน 3 คน ลีโอ 3 ขวด กับรูปถ่ายตอนปี 3 ของเพื่อนๆที่ไม่มีฉันในนั้นสักรูป โบเปิดรูปพวกนี้ให้ดูจากในคอม (ปัจจุบันรูปพวกนี้อันตรธานไปหมดแล้ว) ซึ่งฉันงงมากว่าเพื่อนๆไปถ่ายกันมาตอนไหน เฝ้าถามไปหลายครั้ง จนกระทั่งหมีรำคาญ ตอบมาด้วยใบหน้านิ่งๆ สายตาเย็นชาว่า "ก็มึงมัวไปอยู่ไหนมาล่ะ เพื่อนๆจะไปเรียกมึงก็หาไม่เจอ...ตอนนี้สำนึกไหม มัวแต่ไปติดหญิง" คำพูดกับรูปพวกนี้แหละ ที่ทำให้คิดได้ และรู้ว่าคนที่นึกถึงเราตลอดเวลา แม้ว่าตัวเราจะไม่อยู่ตรงนั้นก็คือเพื่อนๆ


ปี '49 แล้วก็มาถึงปี 4 ปีสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัย พวกเราใช้ชีวิตกิน นอน เที่ยว เล่น ด้วยกันมากกว่าปีก่อน เพราะมันคือช่วงสุดท้ายของเวลาดีๆในชีวิตการเรียนแล้ว (แต่การเรียนยังดีมากกันเหมือนเดิมนะ) ร้านจ่า ร้านเบียร์หน้าเทคนิคฯ รวมถึงหอโบ๊ต Sassy bar ห้องป๋าโหน่ง ทั้งหมดคือสถานที่ที่พวกเราไปสิงสถิตย์อยู่ประจำหลังเลิกเรียน

ปีนี้มีอีกทริปใหญ่ที่ทุกคนต้องทำด้วยกันคือ ทริปอีสานใต้ - เขาพระวิหาร เป็นทริปสุดท้ายก่อนแยกย้ายกันไปทำโปรเจคจบ ทริปอีสานใต้ - เขาพระวิหาร ถือว่าเป็นทริปที่พวกเราทุกคนไม่มีใครลืม เพราะมันทั้ง ฮา สนุก ประทับใจ แต่ก็เชื่อเหมือนกันนะว่าไม่มีจำสถานที่ท่องเที่ยวได้ เพราะตลอดเวลา 4 วัน 3 คืน พวกเราจับกลุ่มเล่น Killer กันตลอดการเดินทาง ตั้งแต่ขึ้นรถ ลงรถ ขนาดเข้าที่พักแล้วก็ยังเล่นอยู่ ซึ่งตอนหลังอาจารย์สู อาจารย์หนุ่ย อาจารย์พจน์ รวมถึงผู้ปกครองของป้อ ก็ทนความฮานี้ไม่ไหว ขอร่วมแจมกับพวกเราในเกมนี้ด้วย ประโยคเด็ดจากเกม Killer เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น "กระหรี่ปอยเปต", "กะเทยชายแดน", "เล็บขบหมัดหมา" และอื่นๆอีกเพียบ จนในท้ายที่สุดพวกเราได้ข้อสรุปว่า ไม่มีการเล่น Killer ที่ไหนสนุกเท่ากับหลังรถน้าจักร และไม่มีการเล่นครั้งไหนประทับใจเท่ากับทริปอีสานใต้ - เขาพระวิหาร

อาจารย์พี่หนุ่ยของพวกเรา

อาจารย์สู เจ้าของวิชาที่พาไปทริปอีสานใต้ - เขาพระวิหาร

ในเทอมที่สองของปีสุดท้ายนี้ พวกเราต้องจับกลุ่มกันทำโปรเจคจบ ซึ่งเป็นการจัดทัวร์ไปที่ไหนก็ได้ในโลก ขายให้ได้ และนำเที่ยวให้ราบรื่น มันเป็นโปรเจคที่ทุกๆคนเหนื่อยกันมาก ทัวร์ขายยากสุดๆ แม้ว่าช่วงเวลานั้นการท่องเที่ยวจะบูมมากๆ แต่ด้วยความที่พวกเราเป็นนักศึกษา ไม่มี contact กับโรงแรม ร้านอาหาร สายการบิน หรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ รวมถึงต้นทุนบางอย่างที่มากกว่าบริษัททัวร์ทั่วๆไป ทำให้ราคาทัวร์ของพวกเราเกือบทุกกลุ่มแพงกว่าท้องตลาด แทบจะขายไม่ได้กันเลยทีเดียว แต่เกือบทุกกลุ่มผ่านพ้นสภาวะขาดทุนได้ก็เพราะ เพื่อนๆช่วยๆกันซื้อทัวร์กันเอง เพื่อให้ได้ใช้เวลาดีๆในปีสุดท้ายด้วยกัน และที่สำคัญช่วยให้เพื่อนของเราไม่ขาดทุน ตัวฉันเองเดินทางไปทริปแม่ฮ่องสอนกับกลุ่มของ รัตน์ หมี แชมป์ แอล ข้าวโพด ซึ่งฉันไปกับกลุ่มนี้ตั้งแต่ตอนเพื่อนๆเดินทางไป survey เส้นทางกันแล้ว จำได้ว่าเป็นช่วงหลังลอยกระทง ราวๆวันที่ 5 - 6 พฤศจิกายน ปี '49 นั่นแหละ เพราะตอนนั้นฉันอยู่เชียงใหม่พอดี ขากลับก็เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งรถไฟชั้นประหยัดด้วย (ชั้น 3) หลังจาก survey ด้วยความที่อยากสนุกกับเพื่อนๆอีกก็เลยตกลงซื้อทัวร์ของกลุ่มนี้ ราคารู้สึกจะราวๆ 4 พันกว่าบาทได้ (ราคาเพื่อนกัน) และทริปนี้เป็นทริปที่ทำให้ฉันหลงรักแม่ฮ่องสอน จนต้องกลับไปอีกหลายครั้ง

การจัดทัวร์แม้ว่าเพื่อนๆจะช่วยกันสุดๆ แต่ก็ทุลักทุเลกันทุกกลุ่ม ปัญหาเยอะมาก จนแทบจะตีกันตาย เกือบเลิกคบกันก็เพราะโปรเจคจบนี่แหละ แต่ระยะเวลากว่าสามปีที่ผ่านมา เรื่องราวมากมายทีเผชิญมาด้วยกัน มันทำให้พวกเรารักกันมากเกินกว่า ที่จะเอาปัญหาแบบนี้มาทำให้พวกเราแตกคอกัน และในที่สุด พวกเราก็จบการศึกษามาได้โดยที่พวกเรายังรักกันเหมือนเดิม ถึงแม้บางคนจะจบช้าไปบ้าง แต่รูปรับปริญญาของทุกคนก็มีหน้าของเพื่อนๆครบเลย


ปลายปี '50 วันรับปริญญามาถึง มันเป็นงานรับปริญญาที่เหนื่อย ภูมิใจ และสนุกมาก พวกเราจัดแจงพาพ่อแม่และญาติๆของแต่ละคนมานั่งรวมๆกลุ่มกัน (เพื่อให้หาตัวง่ายๆ) ทำให้เวลาถ่ายรูปออกมา รูปของพวกเรามีแต่รูปหมู่เสียเป็นส่วนใหญ่ ต่างจากรูปรับปริญญาของคนอื่นๆมาก ส่วนรูปเดี่ยวแทบจะนับรูปได้เลย รูปครอบครัวก็เหมือนกัน แถมถ้าคนไม่รู้มาดูคงตกใจว่าครอบครัวนี้ทำไมมีลูกเยอะจัง แถมหน้าตาไม่เหมือนกันด้วยสิ (555+) จริงๆที่รูปเดี่ยวมีน้อยมาก แต่รูปครอบครัวยังพอมีเยอะอยู่เพราะกลับมาถ่ายต่อที่บ้าน ส่วนรูปในงาน มีแต่รูปบัณฑิตและเพื่อนๆบัณฑิตที่ก็เป็นบัณฑิตในวันนั้นเหมือนกัน

20 พฤศจิกายน 2550
 
จากความฝันที่จะเข้าเรียนที่ศิลปากรแบบในหนัง เรื่อง O - Negative (รักออกแบบไม่ได้) ที่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ แต่อีกความฝันที่จะมีเพื่อนๆที่รักกันแบบเพื่อนกลุ่ม O ฉันสามารถทำได้ แต่ก็เป็นเพื่อนๆกลุ่ม O ในแบบของพวกเราและเป็นกลุ่ม O ที่ใหญ่มาก ในความเป็นจริงพวกเราไม่เคยได้ตั้งชื่อกลุ่มด้วยซ้ำ พวกเราไม่อยากซ้ำใคร และพวกเราทั้ง 30 คนรู้ว่าถึงแม้จะไม่มีชื่อกลุ่ม แต่พวกเราก็จะ "รักกันตลอดไป"

ขอบคุณภาพยนตร์เรื่อง O - Negative (รักออกแบบไม่ได้) ที่ทำให้ความทรงจำที่มันเริ่มเลือนไปกลับมาชัดเจนอีกครั้ง ขอบคุณเพื่อนๆที่ผ่านเรื่องราวมากมายมาด้วยกัน หลายๆคนหลายๆเรื่องอาจจะไม่ได้เขียนถึง แต่ขอบอกว่าฉันจำได้นะ...รักกันตลอดไป

สุดท้ายขอจบด้วยท่อนหนึ่งจากเพลง "รักโลกาภิวัฒน์" เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้

"อย่างน้อยชีวิตนี้ก็ไม่อายเขา ที่เรามีคนดีๆคอยห่วงใย"...SadDog: TIM 22

                          

--------------- จบ บริบูรณ์ ---------------

ไม่มีความคิดเห็น: