ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เมื่อฉันดู O - Negative (รักออกแบบไม่ได้) I


เรื่องนี้เดิมทีฉันเขียนเป็นบันทึกลงเฟซบุ๊คของตัวเอง เพื่อให้เพื่อนๆในกลุ่มได้อ่าน แต่ก็มีเพื่อนๆที่มารู้จักกันในตอนหลังเข้าไปอ่านแล้วชอบกันหลายคน เลยได้โอกาสเอามาลงในบลอกเสียที หลังจากที่ทิ้งว่างไว้เสียนาน

เกือบรุ่งสางของเช้าวันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน 2554 หลังจากได้ดูหนังเรื่อง O - Negative จบลงก้ทำให้นึกไปถึงความทรงจำวัยเยาว์เมื่อนานมาแล้ว

หนัง เรื่องนี้ครั้งแรกที่ได้ดู รู้สึกจะอยู่ม. 2 หรือม.3 นี่แหละจำไม่ได้เท่าไหร่ เพราะมันนานมากแล้ว นานจนเกือบจะลืมอะไรๆหลายๆอย่าง แต่ที่ยังจำได้ดีคือ พอดูจบ หนังเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับฉัน 2 อย่าง อย่างแรกคือ ต้องเข้าเรียนที่ศิลปากรให้ได้ ส่วนอย่างที่สองคือ อยากมีเพื่อนที่รักกันมากๆแบบเพื่อนกลุ่ม O

หลายปีผ่าน ไป ผลการ Entrance ในปี '45 ฉันไม่ติดศิลปากร เลยคิดว่าจะพยายามอีกครั้งในปีถัดไป ซึ่งก็คือปี '46 แต่สุดท้ายมันก็ยังคงเป็นได้แค่ความพยายาม แม้ว่าจะทุ่มเทอนาคตในการเรียนทั้งหมดในตอนนั้น (ทำไมมหาวิทยาลัยนี้มันเข้ายากจังก็ไม่รู้เนอะ) แต่จากผลการ Entrance ในปี '46 กับในวันนี้ หลังจากได้มีโอกาสย้อนกลับมาดูหนังเรื่องนี้อีกครั้ง มันทำให้เกิดความรู้สึกหนึ่งที่อยากเขียนบันทึกนี้ขึ้น แม้ว่ามันอาจจะยาวและไร้สาระไปสักหน่อย

มันเป็นเรื่องสะเทือนใจสำหรับเด็กน้อยมากนะ กับความผิดหวังสองครั้งสองครา ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝันไม่ได้ แต่ด้วยสัญญาที่ให้ไว้กับแม่และกับตัวเอง ในวันที่ขออนุญาตแม่ drop การเรียนปีหนึ่งในมหาวิทยาลัยบูรพา ในเทอมที่สองเพื่อเตรียมตัวสอบใหม่อีก ครั้ง สัญญานั้นคือ ถ้าไม่ติดศิลปากร แต่ติดที่อื่นไม่ว่าจะยังไงก็จะเรียน หรือไม่ติดที่ไหนเลยก็จะกลับไปเรียนที่เดิม...ผลการสอบครั้งที่สองในปี '46 ฉันสอบติดสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพ (ชื่อในปีนั้น) ซึ่งในเวลานั้นรู้สึกแย่มาก แม้ว่าจะตัดแปะรหัสของที่นี่ด้วยตัวเองก็เถอะนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าสถาบันนี้เป็นยังไง คณะที่จะต้องไปเรียนเรียนยังไง เพราะเลือกส่งๆไปอย่างนั้นเอง แต่ด้วยความที่ต้องรักษาคำพูด เลยต้องเข้ารายงานตัวและเข้าเรียนที่สถาบันนี้ โดยที่ไม่รู้ว่าจะมีความสุขในการเรียนรึเปล่า

แต่ที่นี่แหละที่ความทรงจำดีๆ กับเพื่อนๆกลุ่ม O กลุ่มใหญ่ ที่เป็นแบบฉบับของพวกเราเริ่มขึ้น เรื่องราวของพวกเราต่างจากในหนังอย่างสิ้นเชิง แต่ความรักความผูกพันที่พวกเรามีให้กัน มันไม่น้อยไปกว่าที่ได้ดูในหนังแน่นอน


วันที่ 2 มิถุนายน 2546 เป็นวันเปิดเทอมวันแรก และเป็นการเข้าห้องเชียร์วันแรกในสถาบันนี้ของฉันด้วยเช่นกัน แต่ทั้งหมดนั้นมันก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า วันนี้เป็นวันเกิดของเพื่อนโบ๊ต สมาชิกสุดหล่อของพวกเรา ที่ในอีกไม่กี่เดือนต่อมาก็สาวแตก ให้หลายๆคนเสียดายในความหล่อ เนี้ยบ ของมัน และในวันเกิดของโบ๊ตนี่เอง เป็นจุดเริ่มต้นของความผูกพันทั้งหมดที่พวกเรา มีให้กัน ในวันนั้นเค้กก้อนใหญ่ที่ห้ามใช้ช้อน ส้อม หรือมือในการกิน ถูกส่งให้กัดต่อๆกันไป มันเป็นเค้กที่ทั้งอร่อย ฮา และกดดันมาก ในเทอมแรกนี้พวกเรายังไม่สนิทกันมากนัก แม้ว่าจะมีกิจกรรมมาช่วยเยอะ แต่ยังคงแบ่งคบกันเป็นกลุ่มๆ

ในปลายเทอมสอง กับการ Present วิชาการเมืองการปกครองสุดหิน และคำวิจารณ์แหลกยับจากอ.เติมสุดโหด ประเดิมกลุ่มแรกคือกลุ่มของฉันเอง ที่เอี๊ยบ นักร้องสาวสมาชิกในกลุ่มถึงกับรับไม่ได้เป็นลมล้มพับไป ตกบ่ายวันนั้นหลังเลิกเรียน ความเครียดที่ยังสะสม ไม่เพียงเฉพาะสมาชิกของกลุ่ม แต่เพื่อนๆคนอื่นก็ตกอยู่ในสภาวะเดียวกัน ด้วยไอเดียของฉัน และการเชิญชวนให้ใช้สถานที่ของโบ เพื่อนสนิทตัวดำ (ที่ตอนนั้นยังไม่สนิท) พวกเราเลยรวมตัวกันที่หอหลุยส์ จัดชุมนุมสุราขึ้น ซึ่งเป็นครั้งแรกบนเส้นทางสีอำพันของทุกคน แล้วในที่สุดมันก็กลายเป็นธรรมเนียมของเทอมนั้น ที่ทุกบ่ายวันพุธหลังจากเลิกเรียน พวกเราจะไปย้อมใจกันที่หอหลุยส์ โดยกลุ่มที่ Present ในอาทิตย์นั้นๆจะเป็นเจ้าภาพกองแรกของชุมนุมสุรา เรื่องนี้เป็นหนึ่งในวีรกรรมของฉัน ที่ทำให้เพื่อนสนิทต้องโดนไล่ออกจากหอ มาใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ข้างถนน (555+...จริงๆมันกลับบ้านน่ะ) แต่ก็แปลกมันไม่เคยเอาเรื่องนี้มาด่าแบบจริงๆจังๆสักที ช่วงเวลาเมามายนี่แหละที่กลุ่ม O กลุ่มใหญ่ของพวกเราได้เกิดขึ้น แม้ว่าจะยังคงมีเรื่องกินใจหลงเหลืออยู่สำหรับบางคน ก็เป็นผลต่อเนื่องมาจากเรื่องในห้องเชียร์เมื่อเทอมหนึ่งนั่นแหละ


ถัดมาในปี '47 ในที่สุดพวกเราก็ได้เป็นรุ่นพี่แล้ว ต้องเตรียมตัวกันในเรื่องรับน้องให้ทันก่อนเปิดเทอม ต้องเลือกพี่ว้ากสุดโหด หน้าโฉดขึ้นมาทำงานแทนรุ่นพี่ แต่ในบรรดาสาวสวยของท่องเที่ยวนั้นหายากเหลือเกิน แต่ก็ยังพอมีอยู่คน ที่เพื่อนๆลงมติว่าเธอเหมาะสม ด้วยความโหด หน้าโฉด และยิ้มห่าง รัตน์ ได้มติเอกฉันท์ทั้งหมดทุกเสียง แต่ความจริงรัตน์ไม่ได้โหด หรือโฉด แต่มีความห่างที่รอยยิ้ม รัตน์เป็นเพื่อนคนแรกของฉันในสถาบันนี้ จากปากกาหนึ่งด้าม และรอยยิ้มแสนห่างในวันรายงานตัว (เฉลยเลยดีกว่าสำหรับรอยยิ้มแสนห่างก็คือ เพื่อนรัตน์นั้นฟันห่างนะคร้าบ 555+) และภารกิจแรกในฐานะพี่ว้ากคือ การประสานรอยร้าวของพวกเราที่ยังคงมีอยู่ ให้สนิทก่อนการเปิดเทอมและรับน้องที่กำลังจะเริ่มขึ้น

"เอ็ม" คือตัวละครที่มีปัญหา ที่ทั้งรัตน์ ซึ่งเป็นรหัสบัดดี้ และเพื่อนๆทุกคนต้องเคลียร์ใจ พวกเรารวมกลุ่มกันในวันทำความสะอาดตึกก่อนเปิดภาคเรียน มีพี่ๆ เพื่อนๆไปทำงานนี้กันครบ เสร็จงานก็ถึงช่วงเวลาเปิดใจ ทุกอย่างดำเนินไปภายใต้ความรู้สึกกดดัน ทุกคนเปิดใจพูดถึงเหตุผล ความรู้สึกต่างๆกันอย่างเอาตาย ใช้วลาไปนานทีเดียว แต่ในที่สุดทั้งรัตน์ เอ็ม และทุกๆคนก็เข้าใจกันในที่สุด พอเปิดเทอมงานรับน้อง ห้องเชียร์ กีฬาสี ฯ ผ่านไปได้ด้วยความร่วมมืออย่างดี แม้ว่าผลงานของรุ่น "โง่ จน เถื่อน" อย่างพวกเราจะไม่เข้าตาในหลายๆเรื่อง แต่มันก็ดีที่สุดเท่าที่ความสามารถและทุนทรัพย์มีแล้วล่ะ

ชีวิตหลังเลิกเรียนของพวกเราในเทอมนี้ โบ ตู่ รัตน์ แชมป์ รวมตัวกันเช่าหอใหม่ได้ พวกเราเรียกมันว่า "หอนรก" มันกลายเป็นที่รวมพลและสิงสถิตย์สำหรับเด็กบ้านที่รักอิสระแบบฉัน หมี และเทป และที่นี่อีกนั่นแหละที่เรื่องราวมากมายได้เกิดขึ้น หลายๆเรื่อง เรียกว่าเกือบจะทุกเรื่องเลยดีกว่า ไม่สามารถเผยแพร่รายละเอียดผ่านสื่อได้ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องอกหักของหมี การย้ายออกไปแบบช็อควงการของตู่ ชีวิตรันทดของฝนบ้า หรือแม้กระทั่งเรื่องบ้าๆของฉันเอง พวกเราใช้หอนรกแห่งนี้เป็นที่ชุมนุมสุราทุกวันหลังเลิกเรียน (จริงๆในกลุ่มเรียนดีมากๆนะ...คนโง่ๆไม่ควรเอาอย่าง) ความจริงสภาพของหอนี้ มันนรกสมกับที่พวกเราเรียกนั่นแหละ สภาพแวดล้อมไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัยของนักศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นลิฟท์ผีสิงเส็งเคร็งที่บางวันก็ใช้ไม่ได้ ต้องให้ขี้เมาเดินขึ้น - ลง 6 ชั้นเสียเฉยๆ หรือครอบครัวห้องข้างๆที่มีลูกเล็กและผัว - เมียตีกันวันเว้นวัน แต่ที่ร้ายที่สุดคือ ขี้ยาจากชั้น 5 ที่มันก็ไม่ทำอันตรายใครหรอก แต่ก็น่ากลัวใช้ได้เลย แต่สภาพแวดล้อมที่ไม่ต้องเกรงใจใครแบบนี้ มันก็มีข้อดีนะ คือ ในเมื่อเขาไม่เกรงใจเรา เรื่องอะไรเราต้องไปเกรงใจเขา จริงไหม? แล้วฉันก็ชอบข้อดีข้อนี้มากๆ จนแวะเวียนไปเมาอยู่ที่นั่นบ่อยๆ จนเพื่อนๆคิดว่าฉันเป็นเจ้าของหอด้วยอีกคน 555+

ลืมเล่าไปหนึ่งเรื่อง เทอมนี้พวกเราต้อนรับสมาชิกใหม่ นั่นคือ พี่วินัย ที่ซิ่วแล้วซิ่วอีก แต่สุดท้ายก็กลับมาตายรังที่ท่องเที่ยว จนต้องมาเรียนพร้อมๆกับพวกเราจนจบพร้อมกันนั่นแหละ

เทอมสอง ของปีสอง การเรียนไกด์น่าตื่นเต้น และ สนุกขึ้น พวกเราได้ออกจ่างจังหวัดหลายครั้ง ถึงแม้จะเป็นการไปแบบ ไปเช้า - เย็นกลับก็ตามที และการทำทัวร์นี่แหละที่ทำให้พวกเราสนิทกันมากยิ่งขึ้น ด้วยวิธีการจับกลุ่มแบบจับสลาก แต่ชีวิตในห้องเรียนมันก็อย่างนั้นแหละ ของจริงมันหลังเลิกเรียนต่างหาก

ภาพในความทรงจำ
----------- จบ Part I แค่นี้ก่อน เมื่อย -------------

ปล.สำหรับภาพจากภาพยนตร์ นำมาจากพันทิป.คอม

ไม่มีความคิดเห็น: