ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เมื่อฉันดู O - Negative (รักออกแบบไม่ได้) III

ความเดิมตอนที่แล้ว จบลงที่เทอม 2 ปี 2 กับวีรกรรมทุลักทุเล และพวกเรารักอาจารย์พี่หนุ่ย


ปี '48 หลังจากผ่านพ้นปี 2 มาอย่างทุลักทุเล พวกเราก้าวขึ้นสู่ปีที่ 3 แล้ว ถือว่าเป็นรุ่นพี่ที่มีบทบาทมากที่สุดของท่องเที่ยว เนื่องจากปี 4 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายจะวางมือจากกิจกรรม และคอยดูแลน้องๆอยู่ห่างๆ ในปีนี้มีน้องใหม่เข้ามามากเป็นจำนวนที่น่าตกตะลึง ตึ่ง โป๊ะ! เพราะจำนวนของน้องๆมีมากกว่าจำนวนของรุ่นพี่เป็นเท่าตัว (ปกติห้องหนึ่งไม่เกิน 30 คน...ปี 4 ตอนนั้นมีแค่ 18 คน) แต่ชีวิตของฉันในช่วงนี้ ดูเหมือนจะหลุบหายออกไปจากวงโคจรชีวิตของเพื่อนๆ เหมือนกับโดนหลุมดำดูดออกไปจากจักรวาลนี้เลยทีเดียว เหตุนั้นเกิดจาก "ความรัก" ใช่แล้ว ในปีนั้นฉันมีความรัก (แอร๊ยยยยยยยย) และคนๆนั้นก็คือ หนึ่งในรุ่นน้องปีหนึ่งจำนวนมหาศาลนั่นแหละ เป็นช่วงเวลาที่ฉัน ใช้ชีวิตส่วนมากไปกับรุ่นน้องคนนั้นมากกว่าเพื่อนๆที่หอนรก แต่การเรียนก็ไม่เสีย กิจกรรมไม่บกพร่องนะ เอ๊ะ หรือจะบกพร่อง? ไม่รู้สิ

ในปีนี้ ด้านกิจกรรมฉันอยู่ในตำแหน่งรองประธานของแผนกท่องเที่ยว ช่วงแรกๆกิจกรรมที่ได้รับมอบหมายก็เป็นไปได้ด้วยดีนะ แต่ช่วงหลังติดหญิง กับแอบขัดเคืองใจกับคำพูดบางคำของเพื่อนบางคน ฉันเลยถอยออกมางดแสดงความคิดเห็น (แต่ยังให้ความร่วมมือตามมติที่ประชุม) ด้วยเหตุผลงี่เง่าที่ต้องการก่อตั้งชมรมกับโบ แต่ก็ไม่ได้ทำเหมือนกัน (ขี้เกียจซะก่อน) ก็ด้วยเหตุนี้บทหนักของกิจกรรมในแผนกเลยตกไปอยู่กับรัตน์ ไม้ และเทป ซึ่งช่วงพีคของกิจกรรมก็เป็นช่วงพีคในเรื่องความรักของฉันเช่นกัน ที่มันดูเหมือนจะไปได้ดี

อย่างที่บอกไปว่าปี 3 นี้ฉันถูกหลุมดำดึงดูดจนหลุดไปจากจักรวาลของเพื่อนๆไป แต่พอมาเทอม 2 ก็กลับมาต่อกันติดอีกครั้ง ด้วยทริปเชียงใหม่ - เชียงราย เป็นทริปใหญ่ 4 วัน 3 คืน ที่ทุกคนต้องจัดด้วยกัน โดยฉัน ไม้ ป้อ หลุน ได้รับมอบหมายและอาสาไป Survey เส้นทางก่อนวางโปรแกรม ซึ่งไอ้หลุน ที่เป็นผู้ชายกินแรงผู้หญิงบึกบึนอย่างพวกเรามาก แต่สุดท้ายด้วยความที่เกิดมาเพื่อเป็นไกด์ของไอ้หลุน พวกเราก็ต้องพึ่งพาความสามารถของมันในการวางโปรแกรม เพราะสาวๆในห้องถ้าไม่นั่งมองแผนที่ตาเยิ้ม ก็เถียงกันเอาเป็นเอาตาย อย่างกับจะฆ่ากันให้ได้อย่างนั้น ไม่มีทางจะได้ข้อสรุป ถ้าไม่ได้ความคิดไอ้หลุน ที่หัวใสมาก (ใสจริง ไม่ใช้สะ-แตน-อิน)

ทริปเชียงใหม่ - เชียงรายนั้นหฤโหดมาก ไม่ใช่เพราะโปรแกรม กิจกรรม หรือการเดินทาง แต่กลับเป็นเรื่องการสรุปงานทัวร์ หรือที่พวกเราเรียกว่า "เคลียร์ทัวร์" ในแต่ละวัน เหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นในคืนแรกเลย ที่ห้องพักอาจารย์หนุ่ยที่โรงแรมปางสวนแก้ว ซึ่งในบรรดาพวกเราและอาจารย์หนุ่ยไม่ได้เกิดข้อพิพาทกัน แต่พวกเราเกิดข้อพิพาทกับคนอื่น ซึ่งเป็นผู้สร้างปัญหาและมาพิพาทกับพวกเรา โดยไร้สาเหตุและเดินหนีออกจากห้องไปเฉย แต่ด้วยสปิริท พวกเราจึงต้องส่งตัวแทน อันประกอบไปด้วย แชมป์ เอี๊ยบ และอีกคนจำไม่ได้ว่าใคร ไปขอโทษคนอื่นคนนั้นถึงห้องพัก ซึ่งการที่ตัวแทนไปถึงห้องพักของคนอื่นคนนั้น ก็ได้สร้างความเดือดร้อนเล็กน้อยแก่ อาจารย์พจน์ที่ร่วมเดินทางไปในทริปกับพวกเราด้วย แต่เอาจริงๆทริปนี้พวกเราก็ประทับใจนะ

กลับจากทริปเชียงใหม่ - เชียงรายก็เข้าสู่การสอบและการฝึกงาน ซึ่งช่วงฝึกงานนี่แหละที่ฉันอกหักอย่างแรง การอกหักในช่วงเวลานี้เป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก เพราะไม่มีโอกาสได้เจอกับเพื่อนๆเลย ยกเว้น โบ กับ ใหม่ ที่ไปฝึกงานที่เดียวกัน หอนรกสถานที่ชุมนุมสุราก็ถูกคืนไปนานแล้ว ถึงแม้ฉันจะร้องไห้กับโบบ่อยๆ แต่มันก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น จนฝึกงานเสร็จต้องปลีกวิเวกเข้าวัดเลยทีเดียว แต่ก็อยู่ได้แค่วันเดียวก็เผ่นออกมา มันคงร้อนมั้ง (555+) ไม่รู้ว่าชะตากำหนดหรือกรรมลิขิต ออกจากวัดมายังไม่ทันถึงบ้าน หมีก็โทรมา บอกว่า อยากไปหย่อนใจบ้านโบ เพราะหนีปัญหาที่บ้านนิดหน่อย ฉันตัดสินใจไม่ยากในเมื่อเสื้อผ้าพร้อมแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่ปากเกร็ดทันที ที่บ้านโบนี่แหละที่ทำให้อาการอกหักของฉันดีขึ้น

เพื่อน 3 คน ลีโอ 3 ขวด กับรูปถ่ายตอนปี 3 ของเพื่อนๆที่ไม่มีฉันในนั้นสักรูป โบเปิดรูปพวกนี้ให้ดูจากในคอม (ปัจจุบันรูปพวกนี้อันตรธานไปหมดแล้ว) ซึ่งฉันงงมากว่าเพื่อนๆไปถ่ายกันมาตอนไหน เฝ้าถามไปหลายครั้ง จนกระทั่งหมีรำคาญ ตอบมาด้วยใบหน้านิ่งๆ สายตาเย็นชาว่า "ก็มึงมัวไปอยู่ไหนมาล่ะ เพื่อนๆจะไปเรียกมึงก็หาไม่เจอ...ตอนนี้สำนึกไหม มัวแต่ไปติดหญิง" คำพูดกับรูปพวกนี้แหละ ที่ทำให้คิดได้ และรู้ว่าคนที่นึกถึงเราตลอดเวลา แม้ว่าตัวเราจะไม่อยู่ตรงนั้นก็คือเพื่อนๆ


ปี '49 แล้วก็มาถึงปี 4 ปีสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัย พวกเราใช้ชีวิตกิน นอน เที่ยว เล่น ด้วยกันมากกว่าปีก่อน เพราะมันคือช่วงสุดท้ายของเวลาดีๆในชีวิตการเรียนแล้ว (แต่การเรียนยังดีมากกันเหมือนเดิมนะ) ร้านจ่า ร้านเบียร์หน้าเทคนิคฯ รวมถึงหอโบ๊ต Sassy bar ห้องป๋าโหน่ง ทั้งหมดคือสถานที่ที่พวกเราไปสิงสถิตย์อยู่ประจำหลังเลิกเรียน

ปีนี้มีอีกทริปใหญ่ที่ทุกคนต้องทำด้วยกันคือ ทริปอีสานใต้ - เขาพระวิหาร เป็นทริปสุดท้ายก่อนแยกย้ายกันไปทำโปรเจคจบ ทริปอีสานใต้ - เขาพระวิหาร ถือว่าเป็นทริปที่พวกเราทุกคนไม่มีใครลืม เพราะมันทั้ง ฮา สนุก ประทับใจ แต่ก็เชื่อเหมือนกันนะว่าไม่มีจำสถานที่ท่องเที่ยวได้ เพราะตลอดเวลา 4 วัน 3 คืน พวกเราจับกลุ่มเล่น Killer กันตลอดการเดินทาง ตั้งแต่ขึ้นรถ ลงรถ ขนาดเข้าที่พักแล้วก็ยังเล่นอยู่ ซึ่งตอนหลังอาจารย์สู อาจารย์หนุ่ย อาจารย์พจน์ รวมถึงผู้ปกครองของป้อ ก็ทนความฮานี้ไม่ไหว ขอร่วมแจมกับพวกเราในเกมนี้ด้วย ประโยคเด็ดจากเกม Killer เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น "กระหรี่ปอยเปต", "กะเทยชายแดน", "เล็บขบหมัดหมา" และอื่นๆอีกเพียบ จนในท้ายที่สุดพวกเราได้ข้อสรุปว่า ไม่มีการเล่น Killer ที่ไหนสนุกเท่ากับหลังรถน้าจักร และไม่มีการเล่นครั้งไหนประทับใจเท่ากับทริปอีสานใต้ - เขาพระวิหาร

อาจารย์พี่หนุ่ยของพวกเรา

อาจารย์สู เจ้าของวิชาที่พาไปทริปอีสานใต้ - เขาพระวิหาร

ในเทอมที่สองของปีสุดท้ายนี้ พวกเราต้องจับกลุ่มกันทำโปรเจคจบ ซึ่งเป็นการจัดทัวร์ไปที่ไหนก็ได้ในโลก ขายให้ได้ และนำเที่ยวให้ราบรื่น มันเป็นโปรเจคที่ทุกๆคนเหนื่อยกันมาก ทัวร์ขายยากสุดๆ แม้ว่าช่วงเวลานั้นการท่องเที่ยวจะบูมมากๆ แต่ด้วยความที่พวกเราเป็นนักศึกษา ไม่มี contact กับโรงแรม ร้านอาหาร สายการบิน หรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ รวมถึงต้นทุนบางอย่างที่มากกว่าบริษัททัวร์ทั่วๆไป ทำให้ราคาทัวร์ของพวกเราเกือบทุกกลุ่มแพงกว่าท้องตลาด แทบจะขายไม่ได้กันเลยทีเดียว แต่เกือบทุกกลุ่มผ่านพ้นสภาวะขาดทุนได้ก็เพราะ เพื่อนๆช่วยๆกันซื้อทัวร์กันเอง เพื่อให้ได้ใช้เวลาดีๆในปีสุดท้ายด้วยกัน และที่สำคัญช่วยให้เพื่อนของเราไม่ขาดทุน ตัวฉันเองเดินทางไปทริปแม่ฮ่องสอนกับกลุ่มของ รัตน์ หมี แชมป์ แอล ข้าวโพด ซึ่งฉันไปกับกลุ่มนี้ตั้งแต่ตอนเพื่อนๆเดินทางไป survey เส้นทางกันแล้ว จำได้ว่าเป็นช่วงหลังลอยกระทง ราวๆวันที่ 5 - 6 พฤศจิกายน ปี '49 นั่นแหละ เพราะตอนนั้นฉันอยู่เชียงใหม่พอดี ขากลับก็เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งรถไฟชั้นประหยัดด้วย (ชั้น 3) หลังจาก survey ด้วยความที่อยากสนุกกับเพื่อนๆอีกก็เลยตกลงซื้อทัวร์ของกลุ่มนี้ ราคารู้สึกจะราวๆ 4 พันกว่าบาทได้ (ราคาเพื่อนกัน) และทริปนี้เป็นทริปที่ทำให้ฉันหลงรักแม่ฮ่องสอน จนต้องกลับไปอีกหลายครั้ง

การจัดทัวร์แม้ว่าเพื่อนๆจะช่วยกันสุดๆ แต่ก็ทุลักทุเลกันทุกกลุ่ม ปัญหาเยอะมาก จนแทบจะตีกันตาย เกือบเลิกคบกันก็เพราะโปรเจคจบนี่แหละ แต่ระยะเวลากว่าสามปีที่ผ่านมา เรื่องราวมากมายทีเผชิญมาด้วยกัน มันทำให้พวกเรารักกันมากเกินกว่า ที่จะเอาปัญหาแบบนี้มาทำให้พวกเราแตกคอกัน และในที่สุด พวกเราก็จบการศึกษามาได้โดยที่พวกเรายังรักกันเหมือนเดิม ถึงแม้บางคนจะจบช้าไปบ้าง แต่รูปรับปริญญาของทุกคนก็มีหน้าของเพื่อนๆครบเลย


ปลายปี '50 วันรับปริญญามาถึง มันเป็นงานรับปริญญาที่เหนื่อย ภูมิใจ และสนุกมาก พวกเราจัดแจงพาพ่อแม่และญาติๆของแต่ละคนมานั่งรวมๆกลุ่มกัน (เพื่อให้หาตัวง่ายๆ) ทำให้เวลาถ่ายรูปออกมา รูปของพวกเรามีแต่รูปหมู่เสียเป็นส่วนใหญ่ ต่างจากรูปรับปริญญาของคนอื่นๆมาก ส่วนรูปเดี่ยวแทบจะนับรูปได้เลย รูปครอบครัวก็เหมือนกัน แถมถ้าคนไม่รู้มาดูคงตกใจว่าครอบครัวนี้ทำไมมีลูกเยอะจัง แถมหน้าตาไม่เหมือนกันด้วยสิ (555+) จริงๆที่รูปเดี่ยวมีน้อยมาก แต่รูปครอบครัวยังพอมีเยอะอยู่เพราะกลับมาถ่ายต่อที่บ้าน ส่วนรูปในงาน มีแต่รูปบัณฑิตและเพื่อนๆบัณฑิตที่ก็เป็นบัณฑิตในวันนั้นเหมือนกัน

20 พฤศจิกายน 2550
 
จากความฝันที่จะเข้าเรียนที่ศิลปากรแบบในหนัง เรื่อง O - Negative (รักออกแบบไม่ได้) ที่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ แต่อีกความฝันที่จะมีเพื่อนๆที่รักกันแบบเพื่อนกลุ่ม O ฉันสามารถทำได้ แต่ก็เป็นเพื่อนๆกลุ่ม O ในแบบของพวกเราและเป็นกลุ่ม O ที่ใหญ่มาก ในความเป็นจริงพวกเราไม่เคยได้ตั้งชื่อกลุ่มด้วยซ้ำ พวกเราไม่อยากซ้ำใคร และพวกเราทั้ง 30 คนรู้ว่าถึงแม้จะไม่มีชื่อกลุ่ม แต่พวกเราก็จะ "รักกันตลอดไป"

ขอบคุณภาพยนตร์เรื่อง O - Negative (รักออกแบบไม่ได้) ที่ทำให้ความทรงจำที่มันเริ่มเลือนไปกลับมาชัดเจนอีกครั้ง ขอบคุณเพื่อนๆที่ผ่านเรื่องราวมากมายมาด้วยกัน หลายๆคนหลายๆเรื่องอาจจะไม่ได้เขียนถึง แต่ขอบอกว่าฉันจำได้นะ...รักกันตลอดไป

สุดท้ายขอจบด้วยท่อนหนึ่งจากเพลง "รักโลกาภิวัฒน์" เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้

"อย่างน้อยชีวิตนี้ก็ไม่อายเขา ที่เรามีคนดีๆคอยห่วงใย"...SadDog: TIM 22

                          

--------------- จบ บริบูรณ์ ---------------

เมื่อฉันดู O - Negative (รักออกแบบไม่ได้) II

ความเดิมตอนที่แล้วจบลงที่ชีวิตในห้องเรียนของปี 2 เทอมที่ 2 แต่ชีวิตนอกห้องเรียนยังไม่ได้เริ่มเลย...ในเทอม 2 นี้มีเรื่องราวใหญ่ๆ 2 - 3 เรื่องที่ฉันไม่มีวันลืม


เรื่องแรก การทะเลาะวิวาทของสาวๆท่องเที่ยว กับ สาวๆคหกรรมที่ป้ายรถเมล์หน้าเทคนิคฯ ฝ่ายโน้นมีหัวหน้าแก๊งที่พวกเราเรียกกันเล่นๆขำๆว่า "เฟินหยัน" (จริงๆนะ 555+) ส่วนฝ่ายพวกเราไม่มีใครเป็นหัวหน้าแก๊ง แต่ตัวเปิดศึกในครั้งนี้คือ "เขียดน้อย ซอยสวนพลู" หรือชื่อจริงว่า อุมา ซึ่งไม่ได้มีเรื่องราวกับแก๊งเฟินหยันมาก่อน แต่ด้วยความที่เขียดน้อยรักเพื่อนมาก พอหลังจากไปออกกำลังกายที่สวนลุมกลับบมา เลยจัดการเปิดศึกที่หน้าป้ายรถเมล์ให้กับเพื่อนๆ เพื่อเคลียร์ให้จบๆไป เรื่องราวตบตีเลยเริ่มขึ้น...(ความจริงแก๊งเฟินหยันฮึ่ม ฮึ่ม กับพวกเรามานานมาแล้ว)...ส่วนตู่ เจ้าของเรื่องที่แก๊งเฟินหยันหมายหัวไว้ ก็นอนสบายใจเชิบ เชิบอยู่หอ และรู้เรื่องนี้ หลังจากเพื่อนๆยับเยินในการต่อสู้และกลับหอนรกเรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์นี้ฉันเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ เพราะต้องเฝ้าระวังขวดสาโทไม่ให้เสียหาย ส่วนคนที่ลงมือประกอบไปด้วย เขียดน้อย ซอยสวนพลู, รัตน์, หมี, ใหม่, เหล่านี้ได้แผลกันทั่วหน้า โดยเฉพาะหมี ถึงขนาดโปะรองพื้นก็ยังมองเห็น (จะไป Sortel กันต่อด้วย) แต่ก็ถือเป็นโชคดีที่พวกเราหนีทันก่อนอาจารย์จะจับได้ สรุปแล้ว เรื่องวิวาทบาดหมางนี้ก็จบลงที่ป้ายรถเมล์หน้าเทคนิคฯนั่นเอง

เรื่องต่อมา เรื่องนี้ค่อนข้างจะซีเรียสจริงจัง แอบกดดันด้วย นั่นคือ การประท้วงของนักศึกษา เรื่องการเปลี่ยนชื่อสถาบัน จาก "สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพ" มาเป็น "มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ" ในตอนนั้น ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าฉันกับรัตน์จะเป็นตัวแทนของท่องเที่ยวเข้า ประชุมกับแผนกอื่นๆ ที่นำโดยเด็กบริหาร และ อังกฤษสื่อสาร มันเป็นเรื่องที่สนุกและตื่นเต้นดีในตอนแรก เพราะต้องทำให้ทุกอย่างเป็นความลับ ไม่ให้อาจารย์รู้ การประชุมก็แอบทำกันตามมุมมืดๆของเทคนิคฯ รวมกลุ่มกันก็ต้องไม่เกิน 5 คน (คณาจารย์เริ่มระแคะระคาย เลยมีกฏเคอร์ฟิวส์นี้ออกมา) ตื่นเต้นดีเหมือนกำลังจะทำการปฏิวัติเลย แต่ช่วงใกล้วันก่อการกลับเริ่มกดดัน การประชุมเครียดมาก พูดคุยกันในหลายประเด็น และในท้ายที่สุดนักศึกษาท่องเที่ยวทั้งหมดมีมติถอนตัว เหตุเพราะที่ประชุมไม่รับฟังความเห็นของพวกเราที่เป็นเสียงส่วนน้อย (นี่ฉันเป็นเสียงส่วนน้อยตลอดชีวิตเลยหรอ???) ในวันที่พวกนั้นก่อการ ซึ่งมีการเชิญนักข่าวด้วย นักศึกษาท่องเที่ยวมีกำหนดออกทัวร์กัน และได้แจ้งที่ประชุมขอให้เลื่อนวันออกไปแล้ว แต่พวกนั้นยืนยันให้พวกเราเลื่อนออกทัวร์ ซึ่งเป็นการสอบของนักศึกษาท่องเที่ยวเอง พวกเราเลยตัดสินใจไปออกทัวร์ดีกว่าลัลลา ลัลลา แถมไม่ต้องมีปัญหากับคะแนนสอบด้วย ดังนั้นในวันนั้นนักศึกษาท่องเที่ยวทุกชั้นปี ยกเว้นปี 4 ที่ไม่มีเรียนอยู่แล้ว เลยไปออกทัวร์กันแทนการประท้วง ที่ข้อเรียกร้องไร้สาระในหลายประเด็น แต่กลายเป็นข่าวโด่งดัง

เรื่องสุดท้ายที่จะไม่เล่าคงจะไม่ได้ เป็นเรื่องเบาเบา สบายๆ แต่มันทำให้ฉันได้รู้จักตัวตนของบุคคลท่านหนึ่งที่นับถือมากๆ นั่นคือ "อาจารย์พี่หนุ่ย" อาจารย์สาวโสด ร่างเล็ก กับแว่นแบบแฮรี่ และทรงผมมะเขือเทศ ที่ในตอนแรกเกือบทุกคนไม่มีใครชอบวิธีการเก็บคะแนนของอาจารย์ จนพาลไปถึงการสอน อาจารย์พี่หนุ่ยสอนพวกเราในวิชาภาษาอังกฤษ เก็บคะแนนแปลก อย่างจะใช้กับเด็กน้อยอนุบาลอย่างนั้น โดยการให้ทุกคนแย่งกันเขียนคำตอบบนกระดานบ้าง ยกมือบ้าง แถมยังมีเก็บคะแนนยิบย่อยเยอะทีเดียว ซึ่งตอนหลังฉันก็ได้รู้ว่าอจารย์พี่หนุ่ยเจตนาดี ที่ต้องการให้เพื่อนๆ ที่ไม่เก่งในวิชานี้ได้มีโอกาสมีคะแนนเก็บไว้ช่วยบ้าง จากตอนแรกที่ฉันแอนตี้มาก จนไม่ยอมรับวิธีการเก็บคะแนนของอาจารย์ เลยเถิดไปถึงการไม่ให้ความร่วมมือ กลายมาเป็นก็ยังไม่ให้ความร่วมมืออยู่ดี (555+) แต่ด้วยเจตนาที่จะไม่ไปแย่งคะแนนส่วนนี้ กับเพื่อนๆที่ทำข้อสอบไม่ได้ต่างหาก เพราะฉันสามารถทำข้อสอบได้อยู่แล้ว เลยรอสอยคะแนนตอนนั้นก็ยังถือว่าทัน

อาจารย์หนุ่ยสอนพวกเราอีกวิชา คือ วิชานันทนาการ และปีนั้นก็เป็นปีแรกที่อาจารย์หนุ่ยมาสอนวิชานี้ ซึ่งวิชานี้ต้องการไปออกทริปด้วย เลยต้องทำการ Survey ก่อนไปจริงๆ อาจารย์หนุ่ยเลือกสถานที่ไว้ที่เกาะเสม็ด และชวนไม้กับโบ๊ตไปเป็นเพื่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าไม้นึกยังไงถึงมาชวนฉันไปด้วย ด้วยความที่อยากไปเที่ยวเสม็ดดู (เกิดมาไม่เคยไปเลย...ครั้งนั้นครั้งแรก) เลยตัดสินใจไป ทั้งๆที่ก็ไม่ได้สนิทกับอาจารย์หนุ่ย และออกจะไม่ค่อยชอบด้วยซ้ำในตอนนั้น แต่การไป survey ในครั้งนั้นก็ทำให้ฉันได้รู้จักกับอาจารย์หนุ่ยมากขึ้น และยอมรับอาจารย์ในเวลาต่อมา อาจารย์หนุ่ยไม่ได้สอนแค่ภาษาอังกฤษ แต่สอนให้พวกเรารู้จักชีวิตและเกิดมุมมองใหม่ๆ ที่พวกเราไม่เคยได้นึกถึง ที่สำคัญอาจารย์พี่หนุ่ย คือ คนที่เข้าใจพวกเรามากที่สุด...รักอาจารย์พี่หนุ่ยเนอะ

 Survey เสม็ด เสร็จแล้วไม่ได้ไป: โบ๊ตกับอาจารย์พี่หนุ่ย ณ อ่าวลูกโยน
--------------- จบ Part II แบบสั้นๆ ขี้เกียจ ---------------

เมื่อฉันดู O - Negative (รักออกแบบไม่ได้) I


เรื่องนี้เดิมทีฉันเขียนเป็นบันทึกลงเฟซบุ๊คของตัวเอง เพื่อให้เพื่อนๆในกลุ่มได้อ่าน แต่ก็มีเพื่อนๆที่มารู้จักกันในตอนหลังเข้าไปอ่านแล้วชอบกันหลายคน เลยได้โอกาสเอามาลงในบลอกเสียที หลังจากที่ทิ้งว่างไว้เสียนาน

เกือบรุ่งสางของเช้าวันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน 2554 หลังจากได้ดูหนังเรื่อง O - Negative จบลงก้ทำให้นึกไปถึงความทรงจำวัยเยาว์เมื่อนานมาแล้ว

หนัง เรื่องนี้ครั้งแรกที่ได้ดู รู้สึกจะอยู่ม. 2 หรือม.3 นี่แหละจำไม่ได้เท่าไหร่ เพราะมันนานมากแล้ว นานจนเกือบจะลืมอะไรๆหลายๆอย่าง แต่ที่ยังจำได้ดีคือ พอดูจบ หนังเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับฉัน 2 อย่าง อย่างแรกคือ ต้องเข้าเรียนที่ศิลปากรให้ได้ ส่วนอย่างที่สองคือ อยากมีเพื่อนที่รักกันมากๆแบบเพื่อนกลุ่ม O

หลายปีผ่าน ไป ผลการ Entrance ในปี '45 ฉันไม่ติดศิลปากร เลยคิดว่าจะพยายามอีกครั้งในปีถัดไป ซึ่งก็คือปี '46 แต่สุดท้ายมันก็ยังคงเป็นได้แค่ความพยายาม แม้ว่าจะทุ่มเทอนาคตในการเรียนทั้งหมดในตอนนั้น (ทำไมมหาวิทยาลัยนี้มันเข้ายากจังก็ไม่รู้เนอะ) แต่จากผลการ Entrance ในปี '46 กับในวันนี้ หลังจากได้มีโอกาสย้อนกลับมาดูหนังเรื่องนี้อีกครั้ง มันทำให้เกิดความรู้สึกหนึ่งที่อยากเขียนบันทึกนี้ขึ้น แม้ว่ามันอาจจะยาวและไร้สาระไปสักหน่อย

มันเป็นเรื่องสะเทือนใจสำหรับเด็กน้อยมากนะ กับความผิดหวังสองครั้งสองครา ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝันไม่ได้ แต่ด้วยสัญญาที่ให้ไว้กับแม่และกับตัวเอง ในวันที่ขออนุญาตแม่ drop การเรียนปีหนึ่งในมหาวิทยาลัยบูรพา ในเทอมที่สองเพื่อเตรียมตัวสอบใหม่อีก ครั้ง สัญญานั้นคือ ถ้าไม่ติดศิลปากร แต่ติดที่อื่นไม่ว่าจะยังไงก็จะเรียน หรือไม่ติดที่ไหนเลยก็จะกลับไปเรียนที่เดิม...ผลการสอบครั้งที่สองในปี '46 ฉันสอบติดสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพ (ชื่อในปีนั้น) ซึ่งในเวลานั้นรู้สึกแย่มาก แม้ว่าจะตัดแปะรหัสของที่นี่ด้วยตัวเองก็เถอะนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าสถาบันนี้เป็นยังไง คณะที่จะต้องไปเรียนเรียนยังไง เพราะเลือกส่งๆไปอย่างนั้นเอง แต่ด้วยความที่ต้องรักษาคำพูด เลยต้องเข้ารายงานตัวและเข้าเรียนที่สถาบันนี้ โดยที่ไม่รู้ว่าจะมีความสุขในการเรียนรึเปล่า

แต่ที่นี่แหละที่ความทรงจำดีๆ กับเพื่อนๆกลุ่ม O กลุ่มใหญ่ ที่เป็นแบบฉบับของพวกเราเริ่มขึ้น เรื่องราวของพวกเราต่างจากในหนังอย่างสิ้นเชิง แต่ความรักความผูกพันที่พวกเรามีให้กัน มันไม่น้อยไปกว่าที่ได้ดูในหนังแน่นอน


วันที่ 2 มิถุนายน 2546 เป็นวันเปิดเทอมวันแรก และเป็นการเข้าห้องเชียร์วันแรกในสถาบันนี้ของฉันด้วยเช่นกัน แต่ทั้งหมดนั้นมันก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า วันนี้เป็นวันเกิดของเพื่อนโบ๊ต สมาชิกสุดหล่อของพวกเรา ที่ในอีกไม่กี่เดือนต่อมาก็สาวแตก ให้หลายๆคนเสียดายในความหล่อ เนี้ยบ ของมัน และในวันเกิดของโบ๊ตนี่เอง เป็นจุดเริ่มต้นของความผูกพันทั้งหมดที่พวกเรา มีให้กัน ในวันนั้นเค้กก้อนใหญ่ที่ห้ามใช้ช้อน ส้อม หรือมือในการกิน ถูกส่งให้กัดต่อๆกันไป มันเป็นเค้กที่ทั้งอร่อย ฮา และกดดันมาก ในเทอมแรกนี้พวกเรายังไม่สนิทกันมากนัก แม้ว่าจะมีกิจกรรมมาช่วยเยอะ แต่ยังคงแบ่งคบกันเป็นกลุ่มๆ

ในปลายเทอมสอง กับการ Present วิชาการเมืองการปกครองสุดหิน และคำวิจารณ์แหลกยับจากอ.เติมสุดโหด ประเดิมกลุ่มแรกคือกลุ่มของฉันเอง ที่เอี๊ยบ นักร้องสาวสมาชิกในกลุ่มถึงกับรับไม่ได้เป็นลมล้มพับไป ตกบ่ายวันนั้นหลังเลิกเรียน ความเครียดที่ยังสะสม ไม่เพียงเฉพาะสมาชิกของกลุ่ม แต่เพื่อนๆคนอื่นก็ตกอยู่ในสภาวะเดียวกัน ด้วยไอเดียของฉัน และการเชิญชวนให้ใช้สถานที่ของโบ เพื่อนสนิทตัวดำ (ที่ตอนนั้นยังไม่สนิท) พวกเราเลยรวมตัวกันที่หอหลุยส์ จัดชุมนุมสุราขึ้น ซึ่งเป็นครั้งแรกบนเส้นทางสีอำพันของทุกคน แล้วในที่สุดมันก็กลายเป็นธรรมเนียมของเทอมนั้น ที่ทุกบ่ายวันพุธหลังจากเลิกเรียน พวกเราจะไปย้อมใจกันที่หอหลุยส์ โดยกลุ่มที่ Present ในอาทิตย์นั้นๆจะเป็นเจ้าภาพกองแรกของชุมนุมสุรา เรื่องนี้เป็นหนึ่งในวีรกรรมของฉัน ที่ทำให้เพื่อนสนิทต้องโดนไล่ออกจากหอ มาใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ข้างถนน (555+...จริงๆมันกลับบ้านน่ะ) แต่ก็แปลกมันไม่เคยเอาเรื่องนี้มาด่าแบบจริงๆจังๆสักที ช่วงเวลาเมามายนี่แหละที่กลุ่ม O กลุ่มใหญ่ของพวกเราได้เกิดขึ้น แม้ว่าจะยังคงมีเรื่องกินใจหลงเหลืออยู่สำหรับบางคน ก็เป็นผลต่อเนื่องมาจากเรื่องในห้องเชียร์เมื่อเทอมหนึ่งนั่นแหละ


ถัดมาในปี '47 ในที่สุดพวกเราก็ได้เป็นรุ่นพี่แล้ว ต้องเตรียมตัวกันในเรื่องรับน้องให้ทันก่อนเปิดเทอม ต้องเลือกพี่ว้ากสุดโหด หน้าโฉดขึ้นมาทำงานแทนรุ่นพี่ แต่ในบรรดาสาวสวยของท่องเที่ยวนั้นหายากเหลือเกิน แต่ก็ยังพอมีอยู่คน ที่เพื่อนๆลงมติว่าเธอเหมาะสม ด้วยความโหด หน้าโฉด และยิ้มห่าง รัตน์ ได้มติเอกฉันท์ทั้งหมดทุกเสียง แต่ความจริงรัตน์ไม่ได้โหด หรือโฉด แต่มีความห่างที่รอยยิ้ม รัตน์เป็นเพื่อนคนแรกของฉันในสถาบันนี้ จากปากกาหนึ่งด้าม และรอยยิ้มแสนห่างในวันรายงานตัว (เฉลยเลยดีกว่าสำหรับรอยยิ้มแสนห่างก็คือ เพื่อนรัตน์นั้นฟันห่างนะคร้าบ 555+) และภารกิจแรกในฐานะพี่ว้ากคือ การประสานรอยร้าวของพวกเราที่ยังคงมีอยู่ ให้สนิทก่อนการเปิดเทอมและรับน้องที่กำลังจะเริ่มขึ้น

"เอ็ม" คือตัวละครที่มีปัญหา ที่ทั้งรัตน์ ซึ่งเป็นรหัสบัดดี้ และเพื่อนๆทุกคนต้องเคลียร์ใจ พวกเรารวมกลุ่มกันในวันทำความสะอาดตึกก่อนเปิดภาคเรียน มีพี่ๆ เพื่อนๆไปทำงานนี้กันครบ เสร็จงานก็ถึงช่วงเวลาเปิดใจ ทุกอย่างดำเนินไปภายใต้ความรู้สึกกดดัน ทุกคนเปิดใจพูดถึงเหตุผล ความรู้สึกต่างๆกันอย่างเอาตาย ใช้วลาไปนานทีเดียว แต่ในที่สุดทั้งรัตน์ เอ็ม และทุกๆคนก็เข้าใจกันในที่สุด พอเปิดเทอมงานรับน้อง ห้องเชียร์ กีฬาสี ฯ ผ่านไปได้ด้วยความร่วมมืออย่างดี แม้ว่าผลงานของรุ่น "โง่ จน เถื่อน" อย่างพวกเราจะไม่เข้าตาในหลายๆเรื่อง แต่มันก็ดีที่สุดเท่าที่ความสามารถและทุนทรัพย์มีแล้วล่ะ

ชีวิตหลังเลิกเรียนของพวกเราในเทอมนี้ โบ ตู่ รัตน์ แชมป์ รวมตัวกันเช่าหอใหม่ได้ พวกเราเรียกมันว่า "หอนรก" มันกลายเป็นที่รวมพลและสิงสถิตย์สำหรับเด็กบ้านที่รักอิสระแบบฉัน หมี และเทป และที่นี่อีกนั่นแหละที่เรื่องราวมากมายได้เกิดขึ้น หลายๆเรื่อง เรียกว่าเกือบจะทุกเรื่องเลยดีกว่า ไม่สามารถเผยแพร่รายละเอียดผ่านสื่อได้ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องอกหักของหมี การย้ายออกไปแบบช็อควงการของตู่ ชีวิตรันทดของฝนบ้า หรือแม้กระทั่งเรื่องบ้าๆของฉันเอง พวกเราใช้หอนรกแห่งนี้เป็นที่ชุมนุมสุราทุกวันหลังเลิกเรียน (จริงๆในกลุ่มเรียนดีมากๆนะ...คนโง่ๆไม่ควรเอาอย่าง) ความจริงสภาพของหอนี้ มันนรกสมกับที่พวกเราเรียกนั่นแหละ สภาพแวดล้อมไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัยของนักศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นลิฟท์ผีสิงเส็งเคร็งที่บางวันก็ใช้ไม่ได้ ต้องให้ขี้เมาเดินขึ้น - ลง 6 ชั้นเสียเฉยๆ หรือครอบครัวห้องข้างๆที่มีลูกเล็กและผัว - เมียตีกันวันเว้นวัน แต่ที่ร้ายที่สุดคือ ขี้ยาจากชั้น 5 ที่มันก็ไม่ทำอันตรายใครหรอก แต่ก็น่ากลัวใช้ได้เลย แต่สภาพแวดล้อมที่ไม่ต้องเกรงใจใครแบบนี้ มันก็มีข้อดีนะ คือ ในเมื่อเขาไม่เกรงใจเรา เรื่องอะไรเราต้องไปเกรงใจเขา จริงไหม? แล้วฉันก็ชอบข้อดีข้อนี้มากๆ จนแวะเวียนไปเมาอยู่ที่นั่นบ่อยๆ จนเพื่อนๆคิดว่าฉันเป็นเจ้าของหอด้วยอีกคน 555+

ลืมเล่าไปหนึ่งเรื่อง เทอมนี้พวกเราต้อนรับสมาชิกใหม่ นั่นคือ พี่วินัย ที่ซิ่วแล้วซิ่วอีก แต่สุดท้ายก็กลับมาตายรังที่ท่องเที่ยว จนต้องมาเรียนพร้อมๆกับพวกเราจนจบพร้อมกันนั่นแหละ

เทอมสอง ของปีสอง การเรียนไกด์น่าตื่นเต้น และ สนุกขึ้น พวกเราได้ออกจ่างจังหวัดหลายครั้ง ถึงแม้จะเป็นการไปแบบ ไปเช้า - เย็นกลับก็ตามที และการทำทัวร์นี่แหละที่ทำให้พวกเราสนิทกันมากยิ่งขึ้น ด้วยวิธีการจับกลุ่มแบบจับสลาก แต่ชีวิตในห้องเรียนมันก็อย่างนั้นแหละ ของจริงมันหลังเลิกเรียนต่างหาก

ภาพในความทรงจำ
----------- จบ Part I แค่นี้ก่อน เมื่อย -------------

ปล.สำหรับภาพจากภาพยนตร์ นำมาจากพันทิป.คอม

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

เปิดตัว

สวัสดี พ่อแม่พี่น้อง ทุกท่าน

วันนี้ข้าพเจ้า SadDog มีความภูมิใจนำเสนอ Blog แรกในชีวิต เอ่อ...แต่แบบว่ายังไม่มีเรื่องอะไรมาเล่าสู่กันฟังเลยง่ะ 

เอาเป็นว่าขอเปิดตัวไว้ก่อนนะคร้าบบบบบบบบบ แล้วเมื่อเวลาพร้อม เรื่องพร้อม ความขยันพร้อม ข้าน้อยจะรีบนำเรื่องราวมาแชร์ให้พ่อแม่พี่น้อง ได้่อ่านกันต่อไป

ยินดีต้อนรับคร้าบบบบบบ